22 มีนาคม 2554

ไอสไตน์ กับมุมมองด้านศาสนา

ช่วงนี้ข่าวคราวเรื่องนิวเคลียร์อยู่ในความสนใจของหลายคน ทำให้ผมนึกถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมา

คุณๆ รู้จัก "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" ไหมครับ ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่น่าจะรู้จักไม่มากก็น้อย

ไอสไตน์ คือ นักฟิสิกส์-คณิตศาสตร์ รางวัลโนเบล เชื้อสายเยอรมัน ผู้คิดทฤษฎีสัมพันธภาพ ซึ่งนำมาสร้างนิวเคลียร์นั่นเอง



มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนของไอสไตน์เรื่อง " The Human Side " ในตอนท้ายของงานชิ้นนี้กล่าวว่า

The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism. 

(Albert Einstein)

แปลได้ว่า...

ศาสนาที่จะคงอยู่ในอนาคตต้องเป็นศาสนาของจักรวาล โดยจะต้องอยู่นอกเหนือความมีตัวตนของพระเจ้า ไม่ใช่ศาสนาประเภทสอนให้เชื่อแบบไร้เหตุผลและหลักเทววิทยาที่เชื่อเรื่องการมีอยู่เทพเจ้า จะต้องครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจอันเป็นรากฐานของศาสนา ที่มาจากประสบการณ์ มีคำอธิบายหน่วยองค์รวมที่สื่อความหมาย ซึ่งศาสนาพุทธสามารถให้คำตอบต่อคำจำกัดความนี้ได้ ถ้าจะมีศาสนาใดที่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ต้องการ ศาสนาที่ว่าก็คือ "ศาสนาพุทธ" 

(อัลเบิร์ต ไอสไตน์)

นั่นหมายความว่าไอสไตน์เชื่อว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เหมาะกับสังคมในอนาคต ซึ่งเป็นสังคมของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่


ไอสไตน์ ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ได้นำเสนอทฤษฎีที่น่าสนใจ ตั้งแต่พลังงานนิวเคลียร์ วิทยาศาสตร์ระดับโมเลกุึล เรื่องของแสงและมิติเวลา ฯลฯ ยิ่งศึกษามากขึ้นเขาจึงเข้าใจว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ค้นพบ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้เข้าใจและพูดเอาไว้แล้ว

การที่ศาสนาพุทธไม่เคยสอนให้เชื่อ แต่สอนแนวทางให้ไปทดลองรู้ได้ด้วยตนเอง พระองค์สอนให้ไม่ยึดติดที่ศาสดารูปเคารพ แต่ให้ยึดไว้ที่แก่นคือพระธรรม(อริยสัจ 4 ไม่ใช่พระบัญญัติ กฏสงฆ์)

"จงอย่าเชื่อเพราะในสิ่งที่ได้รู้ จนกว่าจะตรึกตรองเข้าใจอย่างถ่องแท้"

มันก็เหมือนถ้าถามว่า รสหวานเป็นอย่างไร? ถ้าท่านไม่ลองชิมน้ำตาลก็ไม่รู้หรอก...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น